คนของเรา

คนของเรา

“เป็นของเอกชน บริหารงานโดยมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละความสามารถ”

ททีมผู้ตรวจสอบและนักวิเคราะห์ที่ทำงานเต็มเวลาได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในการคัด กรองก่อนการจ้างงาน, การตรวจสอบสถานะการตรวจสอบ, การตรวจสอบการฉ้อโกงการให้คำปรึกษาด้านกฎระเบียบและการฝึกอบรมการต่อต้านการปลอมแปลงการตรวจสอบการประกันภัย, การติดตามทรัพย์สินและติดตามบุคคลสูญหาย, อาชญากรรมปกขาว, นิติวิทยาศาสตร์ไอที ฯลฯ

ในการให้บริการลูกค้าองค์กร, ผู้ตรวจสอบและนักวิเคราะห์ของเราได้รับการฝึกอบรมและมีความพร้อม และมั่นใจว่าความสนใจของพวกเขายังคงมุ่งเน้น สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถระบุบุคคลที่มีแนวโน้มว่าจะอยู่กับองค์กรมากที่สุดและส่งมอบผลงานในระดับสูงสุดในระยะยาว

พนักงานของเราส่วนมากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง, สาขาวิชาการจัดการ, อาชญวิทยา, และการบังคับใช้กฎหมาย

เรากำลังพัฒนาวิธีการนำบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาในองค์กรของเราอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างตำแหน่งผู้นำในตลาดโดยตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการสรรหาบุคลากรของเราได้รับการออกแบบให้ไม่เพียงแต่ระบุทักษะและประสบการณ์ที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทัศนคติที่ถูกต้องด้วย นอกเหนือจากการสัมภาษณ์และการทดสอบต่างๆ แล้ว กระบวนการคัดกรองก่อนการจ้างงานอย่างละเอียดและครอบคลุมจะดำเนินการก่อนการจ้างงาน

บุคลากรของเรามาจากภูมิหลัง, ภูมิภาค, และประเทศที่แตกต่างกัน เนื่องจากการทำงานร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทีมงานที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพื่อมุ่งมั่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พนักงานของเราอาจได้รับมอบหมายให้ทำงานในพื้นที่ห่างไกล, ปฏิบัติงานข้ามพรมแดน, และทำงานเป็นกะทั้งสำหรับการสอบถามที่เปิดเผยและรอบคอบตามความต้องการของสถานการณ์

พนักงานของเราปฏิบัติตามมาตรฐานความซื่อสัตย์ที่กำหนดโดยจรรยาบรรณของเราอย่างเต็มที่ และแบ่งปันวิสัยทัศน์และพันธกิจของเรา ด้วยเหตุนี้, ธุรกิจจึงให้บริการด้วยความสามารถในระดับสูง, ความมุ่งมั่น, และความเหมาะสมทางวัฒนธรรมที่เหมาะสม

นโยบายโอกาสที่เท่าเทียมกัน

ผู้จัดการฝ่ายว่าจ้างจะได้รับการเตือนตลอดเวลาในระหว่างกระบวนการสรรหาว่าพวกเขาต้องใช้กระบวนการที่ยุติธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับผู้สมัครทุกคน พนักงานได้รับการเคารพและยกย่องในคุณค่า ทุกคนสามารถเข้าถึงการจ้างงานที่มีอยู่ได้อย่างเท่าเทียมกันโดยทำให้แน่ใจว่าสถานที่ทำงานปราศจากการเลือกปฏิบัติ, การคุกคาม, และพฤติกรรมที่ยุติธรรม พวกเขาควรได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่และดำเนินตามเส้นทางอาชีพที่ตนเลือก

การรักษาความลับและการใช้ดุลยพินิจ

เราปกป้องความลับของข้อมูลที่เราเข้าถึงได้ในการดำเนินธุรกิจของเรา, ตามกฎหมายที่ใช้บังคับและข้อตกลงตามสัญญา ข้อมูลนี้รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงผลิตภัณฑ์และธุรกิจ, ข้อมูลบุคลากรที่เป็นความลับ, ตลอดจนข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าของเรา

ข่าวล่าสุด

Articles

การป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อบริษัทจากพนักงานที่มีสถานภาพทางการเมือง

บุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง (Politically Exposed Person หรือ PEP) หมายถึง ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายบริหาร (ฝ่ายปกครอง) ตลอดจนสมาชิกพรรคการเมือง บุคคลดังกล่าวมีอิทธิพลด้านนโยบายและการดำเนินงานของพรรคการเมือง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงทางกฎหมายหรือชื่อเสียงแก่บริษัท รวมถึงโทษทางอาญาและความเสียหายต่อแบรนด์เนื่องจากการเอื้อผลประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องที่อาจเกิดขึ้น เช่น การทุจริตคอร์รัปชัน การฟอกเงิน หรือการติดสินบน เป็นต้น ความสำคัญของการตรวจสอบบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง (PEP) การตรวจสอบบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง (PEP) มีความสำคัญต่อหน่วยงานหรือองค์กรที่ยึดมั่นในความโปร่งใสและจริยธรรมด้านการดำเนินธุรกิจ โดยการตรวจสอบดังกล่าวเป็นการส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อธุรกิจ แม้ว่าการที่นักการเมืองบริหารงานในองค์กรเอกชนจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ที่อินโดนีเซียมีระเบียบ Peraturan Otoritas Jasa Keuangan Nomor 12 /POJK.01/2017 จัดทำโดย OJK (Financial Services Agency) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง (PEP) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงิน การตรวจสอบบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมืองสามารถตรวจสอบได้ทั้งผู้สมัครงานและพนักงานปัจจุบันของบริษัท โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานให้กับหน่วยงานหรือองค์กรที่มีความเสี่ยงสูงหรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการฟอกเงิน (Anti-Money Laundering หรือ AML) เช่น ธนาคารพาณิชย์ ใครควรดำเนินการตรวจสอบบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง (PEP) ในการตรวจสอบบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง (PEP) มีความเป็นไปได้จะมีสรุปเป็น ผลลัพธ์ผลบวกปลอม...

Articles

หนึ่งในปัญหาสำคัญของระบบแจ้งเบาะแสที่อาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรง

ระบบการแจ้งเบาะแสได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถใช้ในการตรวจพบการฉ้อโกง ไม่ว่าจะเป็น การประพฤติมิชอบ การทุจริต การสินบน และพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณอื่น ๆ ทั้งในหน่วยงานรัฐและเอกชนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม หน่อยงานหรือองค์กรไม่ได้รับรายงายการฉ้อโกงเนื่องจากความท้าทายและอุปสรรคต่าง ๆ ในกระบวนการการแจ้งเบาะแสแม้ว่าจะมีการคุ้มครองตัวตนของผู้แจ้งเบาะแสก็ตาม    มีงานวิจัยในหัวข้อ "In a Breaking the Silence: The Efficacy of Whistleblowing in Improving Transparency" โดย นาย Rehg และคณะ พบว่า อุปสรรคสำคัญคือ การขาดการสนับสนุนเมื่อมีการแจ้งเบาะแสการทุจริตฉ้อโกงจากหน่วยงานหรือองค์กร ระบบแจ้งเบาะแสจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้องค์กรหรือหน่วยงานที่มีวัฒนธรรมแบบเปิด (open culture) ยึดหลักจรรยาบรรณ และการส่งเสริมให้พนักงานรายงานหรือแจ้งเหตุเมื่อพบเห็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่มีเพียงบริษัทไม่กี่รายเท่านั้นที่ผลักดันระบบแจ้งเบาะแสดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จ   ระบบแจ้งเบาะแสในฐานะตัวชี้วัด กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจจาก บริษัท Jiwasraya ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีระบบการแจ้งเบาะแสทุจริตฉ้อโกง แต่กลับไม่มีพนักงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องรายงานเบาะแสทุจริตฉ้อโกงที่เกิดขึ้นภายในองค์กร ส่งผลให้บริษัทสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลกว่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยข้อผิดพลาดของระบบการแจ้งเบาะแสของบริษัท Jiwasraya เกิดจากการขาดการสนับสนุนเมื่อได้รับการแจ้งเบาะแส การขาดการสนับสนุนหลังได้รับการแจ้งเบาะแสนี้เองที่ส่งผลให้ผู้ที่แจ้งเบาะแสรู้สึกว่าตัวเองถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ งานวิจัยที่มีชื่อว่า “Whistleblowing and Anti-Corruption...

Articles

ความเข้าใจและการคาดการณ์ความเสี่ยงจากการแจ้งเบาะแสการกระทำผิด

ตามรายงานของ ACFE ในไตรมาส 4 ของปี 2022 พบว่า ระบบการแจ้งการกระทำผิด สามารถตรวจจับกรณีตัวอย่างการทุจริตและประพฤติมิชอบสูงถึงร้อยละ 42 และได้รับการตรวจพบอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยงานวิจัยดังกล่าวยังพบว่า ระบบการตรวจสอบดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องมือตรวจสอบอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของระบบขึ้นอยู่กับนโยบายขององค์กรที่ส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรในการรายงานหรือตั้งประเด็น ตลอดจนการให้ความคุ้มครองแก่ผู้รายงานการกระทำผิดด้วย   การเป็นผู้รายงานการกระทำผิดไม่ใช่เรื่องง่าย  สิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายมีความเห็นเดียวกันคือการเป็นผู้รายงานการกระทำผิดไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อพิจารณาความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การข่มขู่ การถูกไล่ออกจากงาน ตลอดจนความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับตัวผู้รายงาน หนึ่งในกรณีศึกษามาจากบริษัท Slync บริษัทมีการไล่พนักงานหลายสิบคนหลังจากพนักงานรายงานการทุจริตฉ้อโกงภายในบริษัท ซึ่งผู้ยักยอกเงินดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น CEO ของบริษัท จากการรายงานของสื่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (SEC) พบว่า อดีตผู้บริหารบริษัทSlync อย่าง Christopher S. Kirchner ถูกกล่าวหาว่าได้ทำการยักยอกเงินจากบริษัทกว่า 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเงินลงทุน เพื่อตอบสนองวิธีชีวิตที่หรูหราของตน เช่น การซื้อเครื่องบินส่วนตัว เช่าอสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ การรายงานยังพบว่า นาย Christopher ยังได้นำเงินจากบัญชีธนาคารของบริษัท มาใช้การส่วนตัวอีกด้วย โดยนาย...